บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวและประกาศราคาจำหน่าย “ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่” เจเนอเรชัน 2 อย่างเป็นทางการ เพื่อทำตลาดต่อเนื่องจากเจเนอเรชันแรกที่เปิดตัวในปี พ.ศ. 2558 พร้อมเผยโฉมครั้งแรกและเป็นไฮไลท์ในบูทฮอนด้า ในงาน Big Motor Sale 2022 ระหว่างวันที่ 19 – 28 สิงหาคม พ.ศ.2565 ณ บูทฮอนด้า (A11) ฮอลล์ 102 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
โนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 2 ทำตลาดต่อเนื่องจากเจเนอเรชันแรกที่เปิดตัวในปี พ.ศ.2558 ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อมอบคุณค่าที่ตอบโจทย์ในทุกด้าน มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่ารถยนต์ในคลาสเดียวกันและเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ในทุกรุ่นย่อย พร้อมทั้งผสานความสปอร์ตพรีเมียม ดีไซน์แข็งแกร่งสไตล์เอสยูวี และความอเนกประสงค์ ห้องโดยสารกว้างขวางและคล่องตัวแบบรถเอ็มพีวี อีกทั้งครบครันด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย และให้อารมณ์ความเป็นรถครอสโอเวอร์มากขึ้น จากที่เจเนอเรชันแรก จะออกไปในแนวเอ็มพีวี มากกว่า แต่จุดขายสำคัญก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็นรถที่สามารถใช้งานได้อเนกประสงค์ จากการเป็นรถ 7 ที่นั่ง และเบาะนั่งแถว 2 และแถว 3 สามารถปรับได้หลายรูปแบบ ซึ่งเป็นจุดเด่นและจุดขายของ บีอาร์-วี
สำหรับราคารถฮอนด้า บีอาร์-วี ใหม่ 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วย รุ่น E ราคาเริ่มต้น 915,000 บาท มี2 สีคือ สีขาวทาฟเฟต้าและ สีดำคริสตัล (มุก) ส่วนรุ่น EL ราคาเริ่มต้น 973,000 บาท มี 2 สี คือ สีดำคริสตัล (มุก) และสีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) ซึ่งทั้ง 2 รุ่น ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-เมตรที่ 4,300 รอบ/นาที เกียร์ CVT โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 16.1 กม./ลิตร รองรับเชื้อเพลิงได้ถึง E20
ในส่วนอุปกรณ์มาตรฐานหลักๆ ของแต่ละรุ่น ประกอบด้วย กระจังหน้ารุ่น EL สี Piano Black, กันชนหน้าและหลัง ตกแต่งสีเงิน (รุ่น EL), ไฟหน้าและไฟสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟท้ายแบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้า LED ในรุ่น EL, คิ้วตกแต่งสเกิร์ตข้างสีเงิน ในรุ่น EL, กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า พับเก็บอัตโนมัติ ในรุ่น EL, เสาอากาศ ครีบฉลาม, ราวหลังคาแบบสปอร์ต, ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ในรุ่น EL ส่วนรุ่น E ขนาด 16 นิ้ว, ภายในห้องโดยสาร คอนโซลตกแต่งด้วยวัสดุ Piano Black เบาะผสมระหว่างหนังแท้และวัสดุหนังสังเคราะห์, ที่วางแก้วน้ำมีให้ 8 ตำแหน่ง พนักเท้าแขนมีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศสำหรับเบาะนั่งด้านหลัง, ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start), เบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) ปรับเลื่อนหน้า-หลัง ได้ และพนักพิงปรับเอนได้ 3 ระดับ, เบาะนั่งแถวที่ 3 พับแยกแบบ 50:50 ได้ พนักพิงปรับเอนได้ 2 ระดับ, มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT 4.2 นิ้ว, ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) มีมาให้ในรุ่น EL, เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto รองรับการเชื่อมต่อ Smartphone และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอีกหลายอย่าง เช่น ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติ, ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง, สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเตือนคันหลัง เมื่อใช้เบรกกะทันหัน (ESS), กล้องมองภาพด้านหลัง, ถุงลม 6 ตำแหน่ง ในรุ่น EL , เบรก ABS และจุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
ในส่วนของชุดอุปกรณ์ตกแต่ง ที่นั้นมาพร้อมแนวคิด “Premium & Utility” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ คิ้วตกแต่งฝากระโปรงท้าย คิ้วตกแต่งซุ้มล้อด้านหน้า เป็นต้น